เรียนเชิญคณาจารย์ นักศึกษาและบุคคลทั่วไปเข้าร่วมงานสีฐานเฟสติวอล และงานลอยกระทงมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำปี 2560
วันที่ประกาศ 2017-11-02 อ่าน 820 ครั้ง
คณะเภสัชศาสตร์ ขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรม "แสงสว่างกลางดวงใจ..ข้าวหอมไกลถึงดวงดาว" ในงานสีฐานเฟสติวอลและงานลอยกระทงมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำปี 2560 ณ ลานสนามหญ้าหน้าหอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระหว่างวันที่ 1-3 พ.ย. 60 คณะเภสัชศาสตร์ โดยหน่วยบริการสุขภาพองค์รวม โดยปีนี้ทางหน่วยฯ ขอนำเสนอเรื่องราวของ ข้าวตอกแตก
อันมีความเกี่ยวเนื่องกับหนึ่งในประเพณีอีสานซึ่งชาว อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร ได้นำข้าวตอกแตกมาร้อยขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในวันมาฆบูชา สืบต่อกันมา เรียกว่า ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก ในปีนี้ทางหน่วยฯ เล็งเห็นว่า เป็นสิ่งงดงามทางด้านศิลปะวัฒนธรรมที่เปี่ยมด้วยความศรัทธาและความเพียร อย่างยิ่ง ในการนี้ทางหน่วยฯ จึงได้นำวิถีดังกล่าวมาประยุกต์เป็นรูปแบบใหม่ให้ทุกท่านได้ประดิษฐ์เป็น " โมบายข้าวตอกหอม" ..ที่ผนวกศาสตร์ความหอมตามหลักสุคนธบำบัด เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้นำโมบายข้าวตอกหอมไปใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพกันต่อไป
ภายในซุ้มมีการสาธิตการคั่วข้าวตอกแตกและการประดิษฐ์โมบายและการผสมกลิ่นเพื่อให้ข้าวตอกหอมเพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย กิจกรรมในงานยังมีถึงวันที่ 3 พย. 60 นอกจากนี้ยังรวมถึงอาจได้พบกับการแสดงฟ้อนมาลัยข้าวตอกให้ได้รับชมทุกๆวัน
กำหนดการนิทรรศการและรายละเอียด : Sithan KKU
หน่วยบริการสุขภาพองค์รวม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
*เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : ข้าวตอกแตก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Calycopteris floribunda) เป็นพืชในวงศ์ Combretaceae เป็นไม้เลื้อยเปลือกสีเทาปนน้ำตาล กิ่งอ่อนรูปสี่เหลี่ยมมีขนปกคลุม ใบเดี่ยว ดอกช่อ มีดอกย่อยจำนวนมาก ผลรูปรีแข็ง ไม่แตก กลีบเลี้ยงติดทน ใบใช้เป็นยาขับพยาธิ พบทั่วไปทางภาคกลางและภาคใต้ของอินเดีย1 เดิมปรากฎข้อมูลทางด้านประเพณีแห่มาลัยข้าวตอกในงานบุญ มาฆบูชา ณ บ้านฟ้าหยาด ต.ฟ้าหยาด อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร ที่เรียกว่า "ร้อยมาลัยข้าวตอก แทนดอกมณฑารพ นบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ร่วมชื่นชมวิถีวัฒนธรรมอันบริสุทธิ์งดงามของชุมขนลุ่มน้ำชี ในวันมาฆะบูชาที่ชาวฟ้าหยาด แห่งเมืองบั้งไฟโก้ยโสธรจะนำ "ข้าวตอกสีขาว" มาร้อยเป็นมาลัยสายยาวแทน "ดอกมณฑารพ" แห่งสรวงสวรรค์ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า “งานประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก” ที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ของชุมชนลุ่มน้ำชี แห่งบ้านฟ้าหยาด ต.ฟ้าหยาด อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร ชาวบ้านจะนำข้าวตอกมาร้อยเป็นมาลัยสายยาวแทน “ดอกมณฑารพ” อันเป็นดอกไม้ทิพย์แห่งสรวงสวรรค์ แล้วจัดขบวนแห่ไปถวายเพื่อเป็นพุทธบูชาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวอีสานที่สืบทอดต่อเนื่องกันมา ในวันขึ้น 14 คำ เดือน 3 ของทุกปี หรือก่อนวันมาฆบูชา 1 วัน จะจัดขบวนแห่ช่อมาลัยข้าวตอกดังกล่าว ไปทอดถวายป็นพุทธบูชา ณ วัดหอก่อง เมืองมหาชนะชัย เดิมขึ้นตรงต่อจังหวัดอุบลราชธานี ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้ง เจ้าพระพรหมราชวงศาประชาราษฎร์ ต่างพระเนตรพระกรรณ เนื่องจากมีพื้นที่ปกครองกว้างใหญ่ไพศาลจึงให้ ท้าวปุตตะคำพูน ราชบุตรไปจัดตั้งเมืองใหม่ ณ บริเวณบ้านเวินชัย ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชี เมื่อปี พ.ศ. 2402 โดยตั้งชื่อว่า เมืองหันชัยชำนะ ต่อมาเห็นว่าพื้นที่คับแคบไม่เหมาะสมที่จะขยายเมือง จึงได้มาตั้งเมืองใหม่ ณ สถานที่ตั้งปัจจุบัน
ความเป็นมาของประเพณีแห่มาลัยนี้ มีปรากฏในพระไตรปิฎกส่วนที่ว่าด้วยพระสุตตันตปิฎก บทปรินิพพานสูตร กล่าวคือ ดอกมณฑารพ ซึ่งเป็นดอกไม้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีความสวยงามและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เวลาที่ดอกมณฑารพจะบาน หรือร่วงหล่น ก็ต้องมีเหตุการณ์สำคัญๆเท่านั้น คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน จตุรงคสันนิบาต และทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร ดอกมณฑารพจึงได้ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์ ครั้งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ที่เมืองกุสินารา ดอกมณฑารพ นี้ก็ได้ร่วงหล่นลงมาทั้งก้านและกิ่ง เปรียบเหมือนความเสียอกเสียใจพิไรรำพันต่อการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมถึงเหล่าพระภิกษุ ผู้ได้ชื่อว่าอรหันตขีนาสพทั้งหลายด้วย หมู่เหล่าข้าราชบริพาร ประชาชนทั้งหลายได้พากันมาถวายสักการะพระบรมศพ อีกทั้งยังได้พากันเก็บนำดอกมณฑารพที่ร่วงหล่นลงมาเพื่อไปสักการบูชา และรำลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปดอกมณฑารพ ที่เก็บมาสักการะบูชาเริ่มเหี่ยวแห้งและหมดไป เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ รวมทั้งเหตุการณ์ในวันสำคัญต่างๆ ชาวพุทธจึงได้พากันนำเอาข้าวตอกมาสักการะบูชา เพราะถือว่าข้าวเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และเป็นของสูงที่มนุษย์จะขาดไม่ได้ การจัดข้าวตอกดอกไม้ถวายเป็นพุทธบูชามีจุดเริ่มต้นเมื่อไหร่นั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าแรกๆ จะใส่พานไว้โปรยเวลาพระสงฆ์เทศนา ต่อมาจึงมีการนำมาประดิษฐ์ตกแต่งที่เห็นว่าสวยงาม สืบทอดกันเรื่อยมา จากการตกแต่งมาลัยเพื่อความสวยงามก็พัฒนามาเรื่อยๆจนกลายเป็นการประกวดประชันกัน เมื่อมาลัยร้อยได้สวยงามก็เริ่มมีการแห่แหน ให้เป็นการเป็นงานขึ้นมาด้วย ประกอบพิธีนั้น จนกลายเป็นงานที่ใหญ่ขึ้นมีการฟ้อนรำประกอบขบวน และกลายเป็นประเพณีแห่มาลัยในปัจจุบันและจัดให้มีขึ้น ในวันมาฆบูชา ของทุกๆปี2
อ้างอิง
1.สุภาวรรณ วงค์คำจันทร์. ความหลากหลายทางชีวภาพ วนอุทยานถ้ำเพชรถ้ำทอง. นครสวรรค์: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. 2556. หน้า 28
2.บุษบง พุฒพรหม นักประชาสัมพันธ์ชำนาญการพิเศษ..บทความ สืบค้นทาง http://www.obec.go.th/news/37322 เมื่อวันที่ 2 พ.ย.2560
ข่าว/ภาพ : ไพลิน ลืออดุลย,อรรศ มีไพริณ, สุพรรษา บุตรแวง และ ธีรเดช มานะกุล